เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2566
เรื่อง อธิษฐานจิตเพื่อพระนิพพาน
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดลมหายใจ สติกำหนดรู้ เห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกในกายของเรา อารมณ์จิตเบาสบาย จดจ่ออยู่กับลมหายใจ กำหนดรู้ในอารมณ์จิตของเรา ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย ปล่อยวางความวิตกกังวล ความคิดฟุ้งปรุงแต่งทั้งหลาย เรากำหนดจิตปล่อยวางออกไปจนหมด เหลืออยู่แต่เพียงลมหายใจเบาละเอียด เราเป็นผู้กำหนดดู กำหนดรู้ ติดตามดูลมหายใจ ลมหายใจหยาบก็รู้ว่าหยาบ ลมหายใจละเอียดก็รู้ว่าละเอียด ลมหายใจมีความเบา มีความสบาย ก็รู้อยู่ว่าเบาสบาย วางอารมณ์ใจให้ภายในของเราแย้มยิ้มเบิกบาน เอิบอิ่มจากภายใน กำหนดรู้ในลมสบาย ลมหายใจสบาย อารมณ์จิตเบาสบายละเอียด จิต สติ กำหนดรู้ในความผ่องใสเบาสบายในลม จากนั้น เรากำหนดพิจารณารู้ในจิต เมื่อไรก็ตามที่ลมหายใจละเอียดจนกระทั่งเกิดสภาวะที่ลมหายใจนั้นสงบระงับลง ลมสงบระงับ ลมหายใจสบาย
เรากำหนดจิตต่อไป ย้ายความสนใจ สติที่กำหนดติดตามรู้ในลม จากที่ใช้ลมเป็นเครื่องมือเป็นเครื่องหมายในการกำกับให้จิตเราจดจ่ออยู่กับสมาธิ อยู่กับความสงบ อยู่กับอารมณ์จิตที่เบาสบาย เราย้ายความสนใจสติจากลมมาสู่การกำหนดรู้ในตัวหยุดตัวนิ่งของจิต และกำหนดที่ตัวหยุดตัวนิ่งของจิตนั้น มากำหนดให้เป็นภาพนิมิตของกสิณคือดวงแก้วที่สว่าง เห็นภาพจิตของเราสว่างเป็นแก้วใส แก้วใสสว่าง การกำหนดจิตเป็นแก้วใสสว่าง สมาธิเราจดจ่ออยู่กับกองของกสิณ แก้วที่ใสสว่างนั้นก็คืออุคคหนิมิต ในอาโลกสิณหรือกสิณแสงสว่าง กำหนดรู้ ให้ภาพนิมิตสัมพันธ์อารมณ์จิต ยิ่งดวงกสิณมีความสว่างมากเท่าไหร่ จิตเรายิ่งมีความสุข ความผ่องใสมากเพียงนั้น
จากจิตที่เป็นแก้วใสสว่าง กำหนดน้อมนึกต่อไป ให้ดวงแก้วใสสว่าง กลายเป็นเพชรประกายพรึก คือเป็นประกาย มีความระยิบระยับ มีความแพรวพราว มีประกายรุ้งของ 7 สี รัศมีแผ่ออกจากดวงจิตของเราขณะนี้ แสงสว่างที่แผ่ออก จิตเรายิ่งเกิดความสุข ความผ่องใส เห็นเส้นแสงกระจายรายรอบสว่างเต็มห้องที่เราฝึกสมาธิ จิตยิ่งเอิบอิ่ม ยิ่งแย้มยิ้ม ยิ่งเป็นสุข สภาวะความเป็นทิพย์ของจิตเริ่มปรากฏ ทรงอารมณ์จิตที่ผ่องใสเป็นเพชรประกายพรึกนี้ ความเอิบอิ่มผ่องใสคือหัวใจของการปฏิบัติ ฝึกจิตให้อยู่กับความผ่องใสสว่างเป็นสุขอย่างยิ่ง กำหนดรู้ว่าในยามที่จิตเราเป็นสุขอย่างยิ่ง จิตเราเกิดกำลัง เกิดจิตตานุภาพพิจารณาดู ทำความเข้าใจเปรียบเทียบกับในยามที่เราทุกข์ ในยามที่เรากังวล ในยามที่จิตเราเศร้าหมอง จิตเสียพลังจิตตานุภาพถดถอยจากอารมณ์ที่กระทบในความทุกข์การปรุงแต่ง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่จิตเราผ่องใส ผ่องใสจากกำลังแห่งฌานสมาบัติ ผ่องใสจากเมตตาอัปมาณฌานคือเมตตาอันไม่มีประมาณ ผ่องใสจากอารมณ์พระนิพพาน จิตเราเปล่งประกายแห่งความสุข จิตเราเกิดจิตตานุภาพ เกิดสภาวะความเป็นทิพย์สูงสุด เรากำหนดรู้ทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งในเรื่องของอารมณ์จิตอารมณ์พระกรรมฐาน
จากนั้นจึงกำหนดให้จิตเราแผ่กระแสแสงสว่าง ความเป็นประกายพรึก กำหนดรู้ว่าในขณะที่จิตเราทรงความเป็นประกายพรึกคือความเป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราวนั้น จิตเราสะอาดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตปราศจากความเกลียดชัง จิตปราศจากความวิตกกังวลในทุกสิ่ง จิตมีแต่ความผ่องใส มีรัศมีจิตสว่างละเอียด ทรงอารมณ์นี้ไว้ กำหนดรู้ว่าทุกวินาทีที่เราทรงอารมณ์ จิตเราห่างหายจากสรรพกิเลสทั้งปวง เมื่อเราพิจารณาได้เช่นนี้ จากสมถะก็กลายเป็นวิปัสสนา วิปัสสนาคือเกิดปัญญาทำความเข้าใจว่า ทำไมเราจึงต้องทรงอารมณ์ ทรงอารมณ์กรรมฐานเพื่อให้จิตว่างจากสรรพกิเลสทั้งปวง กำหนดจิตผ่องใสสว่าง จิตเป็นเพชรดวงใหญ่ระยิบระยับแสงสว่างปรากฏ ปราณีตผ่องใส ทรงอารมณ์ความผ่องใสของจิตเต็มกำลังไว้ กำหนดรู้ว่านี่คือปฏิภาคนิมิตในกสิณจิต จิตเราทรงอารมณ์สงบสงัดว่างจากสรรพกิเลสทั้งปวง
เมื่อทรงอารมณ์เต็มกำลังเข้าถึงฌาน 4 ในกสิณ คือปฏิภาคนิมิตพร้อมอารมณ์สะอาดสงบ ความเป็นทิพย์ปรากฏ กำหนดจิตอธิษฐาน ให้สภาวะวัตถุธาตุทั้งหลายรวมทั้งกายเนื้อของเรา โลก บ้านเรือน วัตถุ จักรวาล สลายระเบิดกลายเป็นความว่างเวิ้งว้างว่างเปล่า เหลือเพียงจิตเราปรากฏลอยเด่นเป็นเพชรประกายพรึกอยู่ วิบากกรรมทั้งหลาย ปัญหาทั้งหลาย ความทรงจำ สัญญา ความคิด ภาพความกังวล บุคคลทั้งหลายที่ทำให้เรากังวล ทำให้เราทุกข์ ทำให้เราอึดอัด กำหนดจิตว่าทุกสรรพสิ่ง แม้แต่ร่างกายของเรา โรคภัยไข้เจ็บในกายของเรา ปัญหาอุปสรรคทั้งหลาย สลายล้าง ระเบิด ขาว ว่าง โล่ง กลายเป็นความว่าง เวิ้งว้างว่างเปล่า เหลือเพียงจิตเราลอยเด่นชัดเจนอยู่ ใช้กำลังแห่งอรูปดับล้างวิบาก ความคิด ความเครียด ความกังวล โรคภัยไข้เจ็บ ระเบิดล้างสลายเป็นความว่างไปจนหมด เมื่อจิตลอยเด่นอยู่ท่ามกลางความว่างเวิ้งว้าง กำลังอรูปปรากฏ ทรงอารมณ์ในอรูปวางเฉยในทุกสรรพสิ่ง วางเฉยในรูป ในวัตถุ ในสิ่งที่มากระทบทางอายตนะทั้งปวง วางเฉยต่อสัญญาความจำ ความทรงจำในเรื่องที่ทำให้เราโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทสลายล้างออกไปจนหมด ความทรงจำที่ก่อให้เกิดความรัก โลภ โกรธหลง สลายล้างออกไปจนหมด กลายเป็นจิตที่เป็นประกายพรึกสว่างอยู่ท่ามกลางความโล่งว่าง ทรงอารมณ์แห่งอรูปให้เป็นกำลัง เป็นพื้น เป็นบาทฐานแห่งการปฏิบัติ อรูปสมาบัติเป็นกรรมฐานที่ทรงกำลังที่สุดในสมถะ กำหนดทรงอารมณ์ในอรูป เมื่ออรูปสมาบัติของเราทรงตัวดีแล้ว จิตเรามีความเป็นประกายพรึก สิ่งที่มารบกวน สิ่งที่มากระทบ สลายไปจนหมด อุปสรรควิบากทั้งหลาย ข้อขัดข้องทั้งหลาย สลายออกไปจนหมด
กำหนดจิตต่อไป ว่าเรามีคุณแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ที่อาศัยตลอดชีวิตกำหนดจิตที่กลางดวงจิตที่เป็นประกายพรึกนั้น ปรากฏภาพพุทธนิมิตขององค์สมเด็จพระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเพชรประกายพรึกสว่างชัดเจนอยู่ภายในดวงจิต ฉัพพรรณรังสีรัศมีของพระพุทธองค์ยิ่งแผ่สว่างจากจิตของเรา ทรงอารมณ์ให้เห็นภาพพุทธนิมิตของพระพุทธองค์อยู่กลางดวงแก้ว คือดวงจิตเราที่เป็นเพชรสว่าง ใจเอิบอิ่มผ่องใส ใจเคารพศรัทธาในพระพุทธองค์อย่างสุดจิตสุดใจ ประคับประคองอารมณ์จิตไว้ ทรงอารมณ์ไว้ ทรงภาพนิมิตไว้ กำหนดจิตพิจารณาว่า เราตั้งจิตน้อมกราบขออาราธนาบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ น้อมจิตของข้าพเจ้าขึ้นไปยังพระนิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ ตั้งจิตอธิษฐาน พุ่งจิต ในระหว่างที่พุ่งจิตขึ้นไปเป็นแสง จิตก็ก่อรูปเป็นอทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพปรากฏชัดเจน ขึ้นไปที่บนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม รายล้อมด้วยพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ขีณาสพทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน กำหนดจิต เห็นกายรู้สึกถึงความเป็นอทิสมานกาย ที่เรานั่งกระโหย่งพนมมือน้อมจิตกราบทุกท่าน ทุกๆพระองค์ด้วยความเคารพ ด้วยความนอบน้อม
ในขณะที่กราบพระพุทธเจ้า เราก็น้อมจิตขอกระแสพุทธานุภาพ พุทธบารมีของพระพุทธองค์ ในขณะที่กราบพระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธเมตตาต่อเราอย่างไรบ้าง เราค่อยๆกำหนดความรู้สึกให้ละเอียด กราบนิ่งที่ตักของท่านหรือแทบพระบาทของท่าน ในขณะที่อารมณ์จิตของเรา อทิสมานกายทรุดกราบ แนบอยู่ที่ตักหรือพระบาทของท่าน อารมณ์ใจที่เรามีต่อพระพุทธองค์เป็นเช่นไรบ้าง ก็ให้เรากำหนดรู้ ยิ่งจิตเรามีความเคารพรักในพระพุทธเจ้ามากเท่าไหร่ กระแสแห่งพุทธานุภาพ กระแสธรรม กระแสแห่งพระนิพพานยิ่งถ่ายทอดลงมาสู่ดวงจิตอทิสมานกายของเรามากขึ้นได้เพียงนั้น แต่ละคนที่ฝึกพระกรรมฐาน มีความก้าวหน้าแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับอารมณ์ที่เรามีความเคารพรักพระพุทธเจ้า บางคนกราบเพียงอาการเฉยๆ แต่หากคนที่กราบด้วยความนอบน้อม ด้วยความเคารพรักอย่างสุดหัวจิตหัวใจต่อพระพุทธองค์ บุคคลที่มีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธองค์อย่างยิ่ง ย่อมที่จะน้อมรับกระแสเข้าถึงกระแสธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงสอนได้มากกว่าบุคคลที่มีอารมณ์เฉยๆ กราบแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ ดังนั้นเป็นเรื่องที่เราจะต้องค่อยๆปรับจิตให้มีความนอบน้อมอ่อนโยนในพระรัตนตรัยในพระพุทธเจ้ามากขึ้นเพียงนั้น
เมื่อจิตมีความเคารพต่อพระพุทธองค์แล้ว เราก็กำหนดจิตต่อไป ว่าเราอยู่บนพระนิพพาน ในขณะที่เราอยู่บนพระนิพพาน เราก็เจริญวิปัสสนาญาณซ้ำ ในอารมณ์พระนิพพาน การที่เรายกจิตด้วยกำลังของมโนมยิทธิ คือยกอทิสมานกายขึ้นมาบนพระนิพพานได้ นั่นหมายความว่า อารมณ์ใจของเราในขณะที่เราอยู่บนพระนิพพานนั้น อารมณ์จิตเราสงบสงัด ว่างจากความโลภ โกรธ หลง มีอารมณ์เข้าถึงความเป็นอรหัตผล ในช่วงขณะที่เราปฏิบัติ ในช่วงที่เราเจริญพระกรรมฐาน เป็นอารมณ์แห่งพระอริยเจ้า ซึ่งหากเราหมั่นฝึกหมั่นปฏิบัติจนการยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานนั้น มีอารมณ์ที่ทรงตัว อารมณ์ความเป็นพระอริยเจ้า อารมณ์ใจของเราที่สงบสงัดจากความโลภ โกรธ หลงกลายเป็นปกติ กลายเป็นฌาน กลายเป็นชิน ในที่สุดกิเลสก็ค่อยๆถอดถอนออกจากจิตของเรา สังโยชน์ทั้ง 10 ประการอันเป็นเครื่องร้อยรัดแน่นหนาต่อจิต ก็ค่อยๆหลวม ค่อยๆคลาย ค่อยๆ ขาดไป จนในที่สุด ทั้งสรรพกิเลสคือความโลภ โกรธ หลง อนุสัยของจิต รวมไปถึงสังโยชน์ทั้ง 10 ประการก็ขาดสะบั้น กลายเป็นสมุทเฉทปหารไปในที่สุด กำหนดพิจารณาทรงอารมณ์ในขณะนี้ กำหนดดูจิตรู้จิตของเรา จิตของเราในขณะนี้ มีความห่วงในร่างกายขันธ์ 5 ไหม จิตของเราในขณะนี้มีความหลงในร่างกายขันธ์ 5 ไหม
กำหนดพิจารณาต่อไปในมรณานุสติ จิตของเราในขณะนี้ มีความห่วงความอาลัยต่อความตายไหม หากตายไปในลมหายใจนี้ขณะนี้ เราเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน บรรลุซึ่งพระอรหัตผลในขณะตาย เรามีความอาลัยในชีวิต มีความยินดีในพระนิพพานไหม พิจารณาน้อมจิต ถามจิต ตอบจิตต่อไป ความห่วงความอาลัยในกิจการงานหน้าที่ต่างๆก็ดี ความห่วง ความอาลัยในบุคคลทั้งหลายอันเป็นที่รัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา ไม่ว่าจะเป็นลูกเป็นหลาน หากเราต้องตายไปในขณะนี้ไปนิพพาน จิตเรายังมีความห่วงหา มีความอาลัยในบุคคลทั้งหลายอันเป็นที่รักไหม พิจารณาจิตต่อไป และในอารมณ์ใจที่เป็นกิเลส ในความโกรธ ในความอาฆาต พยาบาทจองเวรทั้งหลาย ใจของเรายังมีความอาลัย ยังเก็บขึ้ง ความโกรธไว้ ที่จะเอาแค้นเอาคืน ที่จะตามไปเกิด ไปจองล้างจองผลาญ บุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจอีกไหม หรือจิตเรามีเพียงแต่ว่า เราจะไปนิพพานแล้ว เรื่องทั้งหลาย กรรมทั้งหลาย สิ่งต่างๆที่เคยล่วงเกิน เราให้อภัยทานจนหมด เราตัดความพยาบาทจนสิ้น ออกจากจิตของเราเพราะเราจะไปพระนิพพานแล้ว ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใครทั้งสิ้น กำหนดน้อมพิจารณาในจิตของเรา วางได้ไหม ปล่อยวาง ให้อภัยทาน ยอมรับการขมากรรมได้ไหม
กำหนดจิตต่อไป ทรงสภาวะเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพาน กำหนดพิจารณาว่า ยังมีบุญกุศลทั้งหลายมากมายที่เราสร้างบำเพ็ญไว้ ในหลายภพหลายชาติรวมถึงชาติปัจจุบัน บุญกุศลนั้นมีมากมายมหาศาลเพียงพอให้เราไปเกิดเป็นมนุษย์ที่ร่ำรวย เป็นอภิมหาเศรษฐี มียศศักดิ์สามารถไปเกิดเป็นเจ้าชายเจ้าหญิง เกิดเป็นกษัตริย์ เกิดเป็นมหาเศรษฐี เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช จิตเรายังมีความอาลัยในการเกิด ในการจุตินั้นหรือไม่ คิดพิจารณาต่อไป อันนี้เป็นมนุษย์สมบัติ เราตัดทิ้ง เราสละตัดอาลัยได้ไหม และกำหนดจิตพิจารณาต่อไป ว่าแล้วทานทั้งหลายเล่า สังฆทานทั้งหลาย วิหารทานทั้งหลาย ตลอดรวมไปจนถึงบุญกุศลในการสร้างพระพุทธรูปก็ดี บุญกุศลใหญ่ที่เราสักการะกราบไหว้พระธาตุ พระบรมสารีริกธาตุ บุญกุศลทั้งหลายเหล่านั้น ยังก่อให้เกิดสวรรค์สมบัติ มีวิมานแก้วรอเราอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็ดี สวรรค์ชั้นจาตุบ้างก็ดี สวรรค์ชั้นยามา สวรรค์ชั้นต่างๆ มีวิมานแก้ว ทิพยสมบัติ เทวดานางฟ้าอันเป็นบริวาร มีรูปโฉมที่หล่อเหลาสวยงาม รอเราอยู่มากมาย เรายังมีความอาลัยในสวรรค์สมบัติไหม หรือปรารถนาจุดเดียวคือพระนิพพาน กำหนดพิจารณาต่อไป และยังมีพรหมสมบัติอันเกิดขึ้นจากการเจริญสมาบัติเจริญพระกรรมฐาน พรหมสมบัติอันก่อเกิดขึ้นจากการเจริญเมตตาพรหมวิหาร เมตตาอัปมาณฌาน บารมีบุญกุศลอันเกิดขึ้นจากฌาน 4 จากอานาปานสติ ฌานอันเกิดขึ้นจากการเจริญกสิณ ทั้งอุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต รวมความว่ากำลังแห่งฌานเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมตตาอัปมาณฌานนั้น ยังให้เกิดพรหมสมบัติ ต้องไปจุติเป็นมหาพรหม เป็นอาภัสราพรหม พรหมอันมีแสงสว่าง รัศมีกายอันรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง เป็นพรหมระดับผู้ใหญ่คือมหาพรหม มีอายุความเป็นทิพย์ยาวนานมหาศาล แม้พระพุทธเจ้าพระพุทธองค์ทรงตรัสแล้ว พระองค์แล้วพระองค์เล่า กำลังบุญแห่งความเป็นพรหมก็ยังไม่หมดสิ้นลง ให้เราพิจารณาว่าอานิสงส์ ผลแห่งการเจริญสมถะ เจริญพระกรรมฐาน มีพรหมสมบัติรออยู่ เรามีความอาลัยไหม หรือปรารถนาพระนิพพานจุดเดียว
จากนั้นกำหนดต่อไป ว่าเมื่อพิจารณาแล้ว ตัดแล้ว สละแล้ว ในขณะที่เราอยู่บนพระนิพพานนี้ สังโยชน์ทั้ง 10 ที่ร้อยรัดเราไว้อยู่กับภพภูมิทั้งหลาย ความพึงพอใจกับเบญจมกามคุณ 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ขาดสะบั้นออกไปจากจิตเรา จิตเราปรารถนาอย่างเดียวคือพระนิพพาน สังโยชน์ข้อที่สูงขึ้น รูปสมาบัติ อรูปสมาบัติไม่มีในจิตเรา อารมณ์จิต ตัดทิ้งจากความวุ่นวาย ความกังวล จิตปล่อยวางจากความหดหู่ ความเศร้าหมอง จิตตัดจากอวิชชา ความหลงในภพภูมิต่างๆ ความติดในภพภูมิต่างๆ ความเข้าใจว่าการเป็นมนุษย์นั้นเป็นความสุข การเป็นเทวดา เป็นพรหมนั้นเป็นความสุข การท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏนี้เป็นเรื่องของความสุข ความเพลิดเพลิน กำหนดพิจารณาตัดสังโยชน์ทั้ง 10 เครื่องร้อยรัดให้เราติดอยู่กับสังสารวัฏ กำหนดว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของข้าพเจ้า ตายเมื่อไหร่ข้าพเจ้าขอยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน
กำหนดในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพสว่างผ่องใสเต็มกำลัง อธิษฐานจิตขออทิสมานกายไปปรากฏอยู่ที่วิมานของตนเองบนพระนิพพาน อยู่ในสภาวะกายพระวิสุทธิเทพ นั่งอยู่บนพระแท่น ห้อยขาห้อยพระบาทลงมา สวมฉลองพระบาทปลายงอน เครื่องทรงเป็นกายพระวิสุทธิเทพ กำหนดจิตเปล่งแสงสว่าง ทรงอารมณ์พระนิพพาน พิจารณาในอารมณ์พระนิพพานอยู่ที่วิมานแก้วของเราบนพระนิพพานนั้น พิจารณาในอารมณ์ ว่าเมื่อเราตัดจากสังสารวัฏ ตัดสังโยชน์ทั้ง 10 ตัดความโลภ โกรธ หลงออกไปจนหมดสิ้นจากใจ จิตจดจ่ออยู่กับพระนิพพาน เสวยอารมณ์วิมุตเป็นนิโรธกรรม นิโรธสมาบัติในขณะทรงอารมณ์สูงสุด คืออารมณ์พระนิพพาน พิจารณาว่าเมื่อตัดสังโยชน์ทั้งหลาย ตัดเครื่องพันธนาการจิตทั้งหลาย ตัดความห่วง ความอาลัยทั้งปวงออกไป จิตแนบอยู่กับพระนิพพานเข้าถึงอารมณ์ คืออารมณ์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า นิพพานัง ปรมังสุญญัง พระนิพพานเป็นความว่างจากความโลภ โกรธ หลงอย่างยิ่ง ว่างจากความห่วง ความอาลัย นิพพานัง ปรมังสุข พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เมื่อกำหนดนิพพานัง ปรมังสุข พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง กำหนดจิตเข้าถึงความสุขในอารมณ์พระนิพพาน เสวยวิมุตในอารมณ์พระนิพพาน แผ่แสงสว่างรัศมีของกายพระวิสุทธิเทพให้แผ่สว่างกระจายออกไป จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง ทั้งกายพระวิสุทธิเทพและวิมานของเราสว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์ไว้ รู้สึกถึงแสงสว่างกายทิพย์เป็นรุ้งแพรวพราวเป็นเส้นแสงออกไป แผ่สว่าง เสวยอารมณ์วิมุตไว้ จิตผ่องใสเต็มกำลัง ภาพกำลังแห่งมโนมยิทธิยิ่งชัดเจนเต็มกำลัง ความเป็นแก้วเป็นเพชรของกายพระวิสุทธิเทพชัดเจนระยิบระยับ จิตแย้มยิ้มเบิกบาน ภายในเอิบอิ่ม จิตตานุภาพในขณะที่เราเพาะบ่มสะสมอามณ์แห่งพระกรรมฐาน อารมณ์แห่งพระนิพพาน จิตยิ่งเกิดสภาวะความเป็นทิพย์ เกิดความผ่องใส เกิดความแพรวพราวระยิบระยับ นึกคิดสิ่งใดก็เกิดปัญญาญาณ เกิดญาณทัศนะ ปัญญาแห่งสมาธิ เกิดความเป็นทิพย์ จิตอธิษฐานสิ่งใดสำเร็จสัมฤทธิ์สมปรารถนา กายทิพย์เกิดพลังทั้งในส่วนของกำลังฌาน กำลังจิต และความบริสุทธิ์สะอาดหมดจดของจิตที่สะอาดจากสรรพกิเลสทั้งปวง
กายทิพย์นั้นเป็นพลังงาน เป็นพลังงานที่สะสมมาด้วยบุญ สะสมมาด้วยกำลังของฌานสมาบัติ เป็นพลังงานที่สะสมมาด้วยกำลังแห่งพรหมวิหาร 4 คือความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นพลังงานที่เข้าถึงความบริสุทธิ์สะอาดหมดจดจากการเจริญวิปัสสนาญาณ สะอาดจากกิเลส ความเพียว ความบริสุทธิ์ของพลังงานของกายทิพย์ กายพระวิสุทธิเทพของเราตอนนี้เปล่งประกายสว่างสูงสุด มโนมยิทธิสว่างผ่องใสชัดเจนจนเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลัง ประคองอารมณ์ไว้ เสวยอารมณ์วิมุต รู้สึกถึงกายพระวิสุทธิเทพที่เปล่งประกาย เสวยอารมณ์แห่งวิมุตติสุข จิตมีความเอิบอิ่มสว่าง ยิ่งจิตของเราเป็นสุข จิตของเรายิ่งแนบอยู่กับพระนิพพาน จิตยิ่งแนบอยู่กับพระนิพพานมากเท่าไหร่ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเมื่อเราต้องดับขันธ์ ละจากร่างกายขันธ์ 5 ไป จิตเราก็สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย เพราะจิตมีความแนบอยู่กับอารมณ์พระนิพพานเป็นปกติอยู่แล้ว จิตมีธรรมฉันทะในพระนิพพาน ปรารถนาพระนิพพานเป็นที่สุด ความลังเลสงสัยว่าเราจะไปพระนิพพานในขณะจิตสุดท้ายก่อนตายได้หรือไม่ ก็ไม่มีในจิตของเราอีก ความคล่องตัวที่เรายกจิตอทิสมานกายมาบนพระนิพพานได้อย่างคล่องตัวเป็นปกติ ยิ่งสร้างความศรัทธา ความเชื่อมั่นในจิตของตน ว่าตายเมื่อไร อย่างไรก็ตามเรามาพระนิพพานได้อย่างแน่นอน การปฏิบัติธรรมของเรา เจริญปัญญา เข้าใจในเหตุในผลในแต่ละจุดที่เราฝึกฝน ในจุดที่เราปฏิบัติ ว่าทำทำไมเพื่ออะไร กำหนดรู้เป็นปกติ ทรงอารมณ์พระนิพพานไว้สว่าง
จากนั้นอธิษฐานจิตต่อไป ว่าในเมื่อเป็นชาติสุดท้ายที่เราตั้งใจจะไปพระนิพพาน เราตั้งจิตเรารำลึกนึกถึงพระพุทธองค์ ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ ขอให้เห็นภาพอดีตชาติ เห็นภาพกายทิพย์ในอดีตชาติของข้าพเจ้าแต่ละบุคคล ที่ข้าพเจ้าสร้างกุศลบำเพ็ญบารมี เจริญสมถะ เจริญวิปัสสนา รวมถึงบำเพ็ญบารมีในการสร้าง ให้บริจาคในทาน การบวช การถือศีล การถือเนกขัมมะ การบวชเป็นพระภิกษุ บวชเป็นพระภิกษุณี บวชเป็นผ้าขาวแม่ขาว รวมไปถึงกรรมฐานทุกกองที่เราเคยปฏิบัติ ภาพกายทิพย์ เพศ พรต ที่เราเคยสร้างบารมีมา มีจำนวนมากมายมหาศาลเท่าไหร่ ขอให้เรากำหนดรู้ในจิตของเรา เห็นในจิตของเรา บางคนก็เห็นทั้งในส่วนที่เคยเป็นฤาษี บางส่วนก็เป็นผ้าขาว เห็นในเพศในภาพที่เป็นพระ เป็นพระภิกษุณี กำหนดรู้ของเราแต่ละคน
จากนั้นกำหนดจิตต่อไป อธิษฐานรวมบารมีเก่า ขอกายทิพย์ทั้งหลายที่บำเพ็ญบารมีไว้ดีแล้วนั้น ในส่วนที่เป็นบุญเป็นกุศล ขอกายทิพย์มากมายมหาศาลแห่งชาติภพที่ข้าพเจ้าได้เกิด ได้จุติ ได้สร้างบารมี ทั้งด้วยกายทิพย์อันเป็นมนุษย์ ทั้งกายทิพย์ในสภาวะแห่งความเป็นเทพเทวดา ทั้งกายทิพย์ในสภาวะแห่งพรหม ขอให้กายทิพย์ทั้งหลายจงทับซ้อนมารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว ทาบรวมพุ่งกลับมารวมกับกายพระวิสุทธิเทพของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ กรรมฐานทุกกองที่เคยปฏิบัติ กำลังฌานสมาบัติที่เคยได้ อภิญญาสมาบัติที่เคยคล่องตัวใช้งานได้ จงมารวมตัว กายทิพย์อทิสมานกายยิ่งสว่างขึ้น รุ่งโรจน์ขึ้น ความทรงจำ สัญญา ภาพกรรมฐานเก่าย้อนคืนกลับมาทั้งหมด อภิญญาสมาบัติย้อนคืนกลับมาทั้งหมด สายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ สายบารมีย้อนทวนกลับคืนมาทั้งหมด เอกัคคตารมณ์รวมกายทั้งหลาย กายทิพย์ทั้งหลายในทุกชาติภพมาเป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกัคคตารมณ์คือกายทิพย์ในชาติปัจจุบันนี้ กายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างขึ้นใสขึ้น กำหนดทรงอารมณ์ไว้ในอารมณ์ของพระนิพพาน ตอนนี้ให้เราแต่ละบุคคลย้อนทวนกรรมฐาน กรรมฐานที่เป็นของเก่าขอให้ผุด ธรรมทั้งหลาย กระแสธรรมที่คู่ควรเหมาะสม สัปปายะกับจิตของเรา ขอให้ผุดปรากฏเกิดขึ้นในแต่ละบุคคลเป็นปัจจัตตัง ทรงอารมณ์ไว้ กำหนดดู กำหนดรู้ รู้ตื่นขึ้นในธรรม รู้ตื่นขึ้นในกรรมฐาน รู้ตื่นขึ้นในของเก่าบารมีเก่า ทรงความผ่องใสไว้ กำหนดรู้ กำหนดดูของตัวเรานะ ขอให้กรรมฐานเก่าผุดขึ้น บารมีเก่าผุดขึ้น เมื่อกำหนดรู้แล้วก็ตั้งจิตนะ ปฏิบัติให้ยิ่งขึ้น ขึ้นมาพระนิพพานให้บ่อยขึ้น
เมื่อสมควรกับเวลาแล้ว ก็กำหนดจิตอธิษฐานพุ่งอทิสมานกายของเรา ไปกราบพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพานรวมถึงพระสุปฏิปันโน ครูบาอาจารย์ เทพพรหมเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย พ่อแม่ทั้งในอดีตชาติและชาติปัจจุบัน ไม่ว่าจะอยู่ภพใดภูมิใด อทิสมานกายเราแยกออกไปเป็นจำนวนมากมายมหาศาล มากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร แยกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์ อธิษฐานให้ทุกกายทิพย์ กายพระวิสุทธิเทพที่แยกออกไป ปรากฏดอกบัวแก้วขนาดใหญ่สว่าง เป็นกำลังแห่งบุญกรรมฐาน กำลังแห่งกุศล กำลังแห่งความดีที่เราทำ ที่เรามีความเพียร น้อมถวายบูชาทุกท่าน ส่งบุญ ส่งกุศล เป็นปฏิบัติบูชาถึงทุกท่าน น้อมถวาย ถวายด้วยความนอบน้อม กราบด้วยความเคารพ กราบด้วยความรู้สึกขอบคุณสำนึกรู้ในพระคุณของทุกท่าน ในขณะที่กราบขอบคุณสำนึกรู้ในพระคุณ ให้เราย้อนดูจิตของเรา ยิ่งจิตเรามีความกตัญญูลึกซึ้ง สำนึกถึงพระคุณท่าน ใจเรายิ่งอิ่มเอมเป็นสุข ความนอบน้อมอ่อนโยน ความกตัญญู ความรู้คุณนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราสละออก แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้จิตเราเกิดความเอิบอิ่ม ความผ่องใสมากขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นบุคคลที่มีจิตที่ละเอียดประณีต บุคคลที่ไม่มีความรู้สึกในความกตัญญูในความรู้คุณนั้น เป็นผู้ที่จิตมีความหยาบกระด้าง ตรงนี้ก็ให้เรากำหนดเพื่อรู้ในจิตของเรา รู้ว่าควรจะต้องปรับจิตเช่นไร อารมณ์จิตที่น้อม มีความนอบน้อมอ่อนโยน ความรู้สึกของจิตที่มีความสำนึกรู้ขอบคุณกตัญญู จิตเรายิ่งละเอียดขึ้น อ่อนโยนขึ้น ปราณีตขึ้น จิตที่แย้มยิ้มเบิกบาน จิตที่มีปัญญาละเอียดในการพิจารณา เรายิ่งก้าวหน้าในธรรมขึ้นสูงขึ้น เมื่อกราบด้วยความสำนึกรู้กตัญญูรู้คุณกตเวทิตากับท่านแล้ว เราก็พุ่งอทิสมานกายจากทุกภพภูมิที่กราบทุกท่านไว้ พุ่งกลับมารวมที่อทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพานอีกครั้ง กำหนดกายสว่างขึ้น จิตเอิบอิ่มเป็นสุข กราบลาท่านน้อมถวายกุศลต่อทุกท่านแล้ว
จากนั้นเราจึงพุ่งจิตอทิสมานกายกลับมาที่ขันธ์ 5 ร่างกายกายมนุษย์บนโลก กำหนดน้อมขอกระแสพระนิพพาน กระแสบุญกุศล สายสมบัติพรั่งพรูลงมาเป็นลำแสงสีขาวคลุมกาย คลุมบ้าน คลุมกิจการอาคารสถานที่ที่เราเจริญ ทำธุรกิจการงาน น้อมดึงกระแสลงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสธรรม กระแสมรรคผล กระแสแห่งพระนิพพาน เป็นแสงสว่างลงมาฟอกธาตุขันธ์ ปรับธาตุขันธ์ เห็นกายเนื้อของเราเป็นโครงกระดูกใสเป็นแก้ว เห็นผม ขน เล็บ ฟัน หนังใสเป็นแก้วสว่าง กายเนื้ออาการ 32 ธาตุทั้ง 4 ใสเป็นแก้วสว่าง จิตมีความเอิบอิ่มผ่องใส ร่างกายธาตุขันธ์ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เซลล์ทุกเซลล์สะอาด ร่างกายสะอาดบริสุทธิ์หมดจด น้อมสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติที่เราทำสะสมมา ขอจงปรากฏสายบุญ สายทรัพย์เป็นฉัพพรรณรังสีเป็น แสงสีทั้ง 7 พร้อมกับภาพนิมิตของทรัพย์ มนุษย์สมบัติ ทรัพย์สินเงินทอง โปรยปราย ธนบัตร เหรียญเงิน เหรียญทอง เพชรนิลจินดา อัญมณี สิ่งที่มีค่าทั้งหลายโปรยปราย พรั่งพรายลงมา รายรอบแล้ว จิตเรากำหนดน้อม ว่าสายสมบัติที่ลงมานั้น เป็นสายสมบัติ สายทรัพย์ เพื่อเราสร้าง เพื่อเราต่อบุญบารมี เพื่อเราได้ทะนุบำรุงตน ทะนุบำรุงครอบครัว ทำนุบำรุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กำหนดจิตว่าเราเปิดรับสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติเพื่อเป็นมหาอุบาสก มหาอุบาสิกา ทำนุบำรุงส่วนรวม โลก ชาติ พระพุทธศาสนา ขอให้ความคล่องตัวจงปรากฏกับทุกคน
จากนั้นกำหนดนะ อธิษฐานตั้งจิตว่า คำอธิษฐานหลังการเจริญพระกรรมฐานในอารมณ์พระกรรมฐานในระดับสูง คำอธิษฐานมีความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ ทุกสิ่งที่อธิษฐานเกิดผลอานิสงส์ เมื่ออธิษฐานก็กำหนดนะ โมทนา สาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรทุกคนที่ปฏิบัติธรรม ที่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรมพร้อมกัน และที่มาฟัง มาปฏิบัติ มาฝึกภายหลัง ในขณะเดียวกันก็ตั้งใจต่อไปว่า คนไหนมีโอกาสก็เขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพาน ทุกครั้งที่ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน ก็เขียนแผ่นทองอธิษฐาน เพื่อหล่อพระ สร้างพระ บำเพ็ญบารมี สร้างพระเจ้าองค์แสนพระนิพพาน แสนดวงจิตที่ยกขึ้นสู่พระนิพพาน เกิดอานิสงส์ผลบุญมหาศาล เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ กำหนดจิตนะ มีโอกาสก็พยายามเขียนทุกครั้ง แล้วก็ขอฝากประชาสัมพันธ์ว่า ต้นเดือนก็เรียนเชิญถวายร่วมบุญมหาสังฆทานร่วมกัน เป็นสามัคคีธรรมเพื่อให้บุญเกิดเป็นกองใหญ่ จะทำมากทำน้อยแต่อานิสงส์กำลังใจก็ให้ตั้งใจว่า เท่ากับเราถวาย 10 องค์ 20 องค์ร่วมกันทุกครั้ง สำหรับวันนี้ก็ขอให้ทุกคนที่ปฏิบัติธรรม มีแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรือง มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง มีความคล่องตัว เปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ มีความเจริญก้าวหน้าในทุกด้านกันทุกคน
สำหรับวันนี้สวัสดีครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า
ถอดความและเรียบเรียงโดย คุณ Wannapa